14 เมษายน วันครอบครัว

alt

14 เมษายน วันครอบครัว

          วันที่ 14 เมษายนของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น "วันครอบครัว" เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดความรักความอบอุ่น และความสุขในครอบครัวมากที่สุด เพราะสถาบันครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้นของคุณภาพชีวิตของผู้คน ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข ก็ถือว่าเป็นความเข้มแข็งของชุมชน หมู่บ้าน สังคมด้วยเช่นกัน

ความหมายของสถาบันครอบครัว

1. ความหมายทั่วไป

          พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายของคำว่า "สถาบัน" และ "ครอบครัว" ไว้ดังนี้            

          - สถาบัน หมายถึง สิ่งซึ่งคนในส่วนรวม คือ สังคมจัดตั้งให้มีขึ้นเพราะเห็นประโยชน์ว่ามีความต้องการและจำเป็นแก่วิถีชีวิตของตน เช่น สถาบันครอบครัว ฯลฯ

          - ครอบครัว หมายถึง ผู้ร่วมครัวเรือน คือ สามี ภรรยา และบุตร

2. ความหมายตามแนวพุทธศาสตร์

          ครอบครัวตามแนวพุทธศาสตร์ ไม่มีการกำหนดตายตัว แต่กล่าวถึงลักษณะอันเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของสมาชิกในครอบครัวเท่านั้น ในทางพุทธศาสนาจะกล่าวถึงครอบครัวในรูปของสามีภรรยา บิดา มารดา เท่านั้น ซึ่งถือว่า มารดา บิดาก็ดี สามี ภรรยาก็ดี เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของครอบครัว

3. ความหมายในแง่สถาบัน

          ครอบครัว หมายถึง การอยู่ร่วมกันของชายหญิง ในรูปของสามี ภรรยา มีหน้าที่ให้กำเนิดบุตรและเลี้ยงดูบุตร เพื่อให้สามารถดำรงชีพอยู่ในสังคมได้ สมาชิกในครอบครัวมีการแสดงออกทางพฤติกรรมต่อกันและกัน ในรูปของการปฏิบัติตามสถานภาพและบทบาทอันเป็นหน้าที่ของสมาชิก


ความสำคัญของวันครอบครัว

          ครอบครัว คือ สถาบันมูลฐานของมนุษย์ชาติ เป็นหน่วยขนาดเล็กที่สุดของสังคม เป็นผู้สร้างและกำหนดสถานภาพ สิทธิ หน้าที่ของบุคคลอันพึงปฏิบัติต่อกันในสังคม เป็น สถาบันแห่งแรกในการถ่ายทอดวัฒนธรรมและพัฒนา ผู้ร่วมครัวเรือน คือ สามี ภรรยา และบุตร การที่ทางราชการกำหนดวันครอบครัวขึ้นมานั้น เนื่องจากต้องการให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของครอบครัวให้มากขึ้น เพราะการที่วิถีชีวิตของคนในสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไป ย่อมทำให้ครอบครัวมีความขัดแย้ง และห่างเหินกันมากขึ้น ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมาทีหลังได้

ประวัติวันครอบครัว   

          สืบเนื่องจากคนไทยสมัยก่อนจะอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ ลักษณะเป็นครอบครัวขยาย ประกอบด้วย พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ รวมกันอยู่ในบริเวณบ้านเดียวกันความใหญ่เล็กของบ้านขึ้นอยู่กับจำนวนคนและต่อเติมขนาดของบ้านเรื่อยไปตามจำนวนคนที่เพิ่มขึ้นถึงเทศกาลก็ทำข้าวของอาหารไปทำบุญที่วัดใกล้บ้านญาติพี่น้องจะเข้ามาร่วมมือช่วยเหลือกันข้าวของอาหารที่เหลือก็จะแบ่งปันแจกจ่ายให้เพื่อนบ้านใกล้เคียง แต่ด้วยวิถีชีวิตของครอบครัวในสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก สมาชิกในครอบครัวต่างต้องดิ้นรนทำมาหาเลี้ยงชีพ หนุ่มสาวที่อยู่ต่างจังหวัดก็เข้ามาในเมืองเพื่อหางานทำ ทำให้ต้องทิ้งพ่อแม่ที่ชราภาพไว้ตามลำพัง พ่อแม่ที่ต้องทำงานหนักเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับลูก และครอบครัว ไม่มีเวลาสั่งสอนอบรมลูก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วน แต่จะสร้างปัญหาให้กับสังคม

          ด้วยเหตุนี้ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2532 คณะรัฐมนตรี ซึ่งมีพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรีได้เสนอมติโดยคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นผู้เสนอ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยและอนุมัติ ให้วันที่ 14 เมษายน ของทุกปี เป็น "วันครอบครัว" ซึ่งตรงกับวันสงกรานต์ของไทย เพราะโดยส่วนใหญ่ในวันนี้เป็นวันที่สมาชิกในครอบครัวมีโอกาสพบปะกันได้โดยสะดวก จึงให้ถือโอกาสเดียวกันนี้เป็นวันแห่งการรวมญาติ รวมครอบครัว ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับบุพการี รดน้ำดำหัว ตลอดจนการขอพรผู้ใหญ่ตามประเพณีไทยที่เคยปฏิบัติกันมา


บทบาทหน้าที่ของสมาชิกในครอบครัวที่พึงปฏิบัติต่อกัน

          1. ให้ความรัก ความอบอุ่นและความเอื้ออาทรต่อกัน

          2. หันหน้าเข้าหากันและยอมรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน

          3. ช่วยเหลือ ดูแล เกื้อกูล ซึ่งกันและกัน

          4. ดูแลเอาใจใส่และให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น

          5. รู้จักวางแผนการใช้จ่ายอย่างประหยัด/ไม่ฟุ่มเฟือย

          6. รู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน

          7. ปฏิบัติกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวรวมกันเช่น การเข้าวัดอบรมปฏิบัติธรรมนำครอบครัวอบอุ่นครอบครัวสนุกกับห้องสมุด ศิลปะสุดสัปดาห์




14 เมษายน วันครอบครัว
 

กิจกรรมวันครอบครัว 

ในส่วนของหน่วยงานราชการ หรือ หน่วยงานอื่น ๆ

          1. จัดนิทรรศการเพื่อให้ประชาชนเกิดความรู้ ความเข้าใจในบทบาท หน้าที่ ของสมาชิกในครอบครัว

          2.จัดมอบรางวัลให้สำหรับครอบครัวดีเด่น เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติครอบครัวที่ทำคุณประโยชน์แก่สังคม และประเทศชาติ

ในส่วนของครอบครัว

          กิจกรรมที่นิยมปฏิบัติกันในวันครอบครัว คือ การให้เวลากับครอบครัวมากยิ่งขึ้น อาทิ การทำอาหารไปทานกันตามสถานที่ต่าง ๆ การไปทานอาหารนอกบ้าน การไปเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งการไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ นอกจากจะเป็นการพักผ่อนหย่อนใจแล้วยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกทางหนึ่งด้วย

          แต่สำหรับครอบครัวที่ไม่มีโปรแกรมออกข้างนอก ก็สามารถสร้างกิจกรรมในบ้านเชื่อมสัมพันธ์ได้หลากหลาย เช่น การช่วยกันทำอาหารทานที่บ้าน , หาดีวีดีหนังสักเรื่องมาดูด้วยกันทั้งครอบครัว เป็นต้น

13 เมษายน วันสงกรานต์

alt  

          วันสงกรานต์ มีกิจกรรมที่ควรทำและข้อปฏิบัติในประเพณีวันสงกรานต์ อย่างไรบ้าง มาดูกัน
          

การเตรียมงาน
 

          วันตรุษและวันสงกรานต์เป็นเทศกาลสำคัญที่คนไทยยังถือว่าวันตรุษคือวันสิ้นปี วันสงกรานต์คือวันขึ้นปีใหม่ดังกล่าว ดังนั้นจึงต้องตระเตรียมงานกันเป็นการใหญ่ จนมีคนที่พูดกันติดปากว่า "ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่" สิ่งที่ตระเตรียมกันนั้นจึงเป็นเรื่องที่จะต้องกระทำกันเป็นพิเศษตามลำดับ ดังนี้...  
 

           1. เครื่องนุ่งห่ม     

           เพื่อใส่ในโอกาสไปทำบุญที่วัด ตลอดจนเครื่องประดับตกแต่งร่างกายอย่างค่อนข้างจะพิถีพิถัน  
 

           2. ของทำบุญ 

           เมื่อใกล้จะถึงวันงานก็เตรียมของทำบุญเลี้ยงพระ และที่เป็นพิเศษของที่จะทำขนมพิเศษ 2 อย่าง ได้แก่ ข้าวเหนียวแดงในวันตรุษ และขนมกวน หรือกะละแมในวันสงกรานต์ นอกจากจะทำขึ้นเพื่อทำบุญแล้ว ยังแลกเปลี่ยนแจกกันในหมู่บ้านใกล้เคียง เพื่อแสดงอัธยาศัยไมตรีในวันสำคัญ  
 

           3. การทำความสะอาดบ้านเรือนที่อาศัยตลอดจนบริเวณใกล้เคียง 

           เพื่อให้ดูเรียบร้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บูชาพระและที่เก็บอัฐิบรรพบุรุษ แม้เสื้อผ้าที่ใช้สอยก็ต้องซักฟอกให้สะอาดหมดจดโดยถือว่ากำจัดสิ่งสกปรกให้ สิ้นไปพร้อมกับปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ ด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง  
 

           4. สถานที่ทำบุญ 

           วัดเป็นสถานที่ทำบุญสวดมนต์เลี้ยงพระ และทำต่อเนื่องกันหลายวัน นอกจากจะทำความสะอาดกุฎีที่อาศัยแล้วยังต้องทำความสะอาดหอสวดมนต์ โบสถ์วิหาร ศาลาการเปรียญ ตลอดจนลานวัด เพราะต้องใช้ทำกิจกรรมหลายอย่าง ได้แก่ การทำบุญตักบาตร ปล่อยนกปล่อยปลา สรงน้ำพระ ก่อพระเจดีย์ทราย และงานรื่นเริงต่าง ๆ ด้วย 


             ก่อนหน้านี้ เราได้ฉลองวันปีใหม่สากลกันมาแล้ว ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเทศกาลวันปีใหม่ของไทยแล้วนะคะ นั่นก็คือ เทศกาลสงกรานต์ นั้นเองค่ะ ในวันนี้ ลูกหลานที่แยกย้ายออกไปสร้างครอบครัวอยู่ที่ใดก็จะกลับบ้านมาพบปะ กราบไหว้บุพการี นอกจากนี้ในวันสงกรานต์ยังมีกิจกรรมมากมาย ที่ไม่ใช่เพียงแค่การสาดน้ำอย่างเดียวนะคะ วันนี้กระปุกดอทคอมจึงได้นำกิจกรรมและข้อควรปฏิบัติในวันสงกรานต์ ที่เชื่อแน่ว่า หลายคนอาจยังไม่เคยทราบมาฝากกัน ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น มาดูพร้อมกันเลยค่ะ
 

 
สรงน้ำพระ วันสงกรานต์

การทำบุญ 
 

          การทำบุญในวันสงกรานต์มีทั้งพิธีหลวงและพิธีราษฎร์ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 
 

          1. พิธีหลวง หรือ พระราชพิธีสงกรานต์ 
 

          วันที่ 15 เมษายน ในเวลาเช้า 10.30 น. พระสงฆ์ที่รับอาราธนามาเจริญพระพุทธมนต์ที่พระที่นั่งอัมรินทร์วินิจฉัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ พระพุทธรูปสำคัญต่าง ๆ ที่หอพระสุราลัยพิมาน แล้วเสด็จหอพระบรมอัฐิที่หอพระธาตุมณเฑียร สรงน้ำพระ พระบรมอัฐิและพระอัฐิ ถวายสักการะพระสยามเทวาธิราชที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ เสด็จออกพระที่นั่งอัมรินทร์วินิจฉัย ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ทรงศีล พระสงฆ์จำนวน 67 รูป เท่าจำนวนพระบรมอัฐิ และพระอัฐิที่อาราธนาจากวัดที่เกี่ยวข้อง กับพระบรมอัฐิและพระอัฐิ เจริญพระพุทธมนต์ ฉันภัตตาหารเพล 
 

          เสร็จแล้วอัญเชิญพระบรมอัฐิ จากหอพระธาตุมณเฑียรเป็นกระบวนแห่ มีประโคมสังข์ แตร กลองชนะ ตั้งแต่เวลาเชิญออก จนกระทั่งถึงบนราชบัลลังก์นพปฏลมหาเศวตฉัตร ในพระที่นั่งอัมรินทร์วินิจฉัย ทรงจุดธูปเทียนราชสักการะพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ของพระบรมอัฐิ ทรงจุดธูปเทียน ถวายสักการะพระบรมอัฐิและพระอัฐิ ทรงทอดผ้าคู่ (ถือผ้าขาว 2 ผืน นุ่งผืน 1 ห่มผืน 1) มีขวดน้ำหอม 1 ขวด พระสงฆ์นั่งสดับปกรณ์ตามลำดับวัดประจำพระบรมอัฐิ 
 

          เวลา 16.30 น. เสด็จสรงน้ำพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระพุทธสัมพรรณี พระชัยหลังช้าง พระพุทธรูปฉลองพระองค์รัชกาลที่ 1 รัชกาลที่ 2 เสด็จสรงน้ำพระคันธราษฎร์ สรงน้ำ พระโพธิ์ พระนิโครธ พระพุทธเจดีย์ทอง พระไตรปิฎกฉบับทองทึบ พระนาคที่วิหารขาวสดับปกรณ์ พระบรมอัฐิกรมพระราชวังบวรสถานมงคล และพระอัฐิเจ้านายต้นราชสกุลต่าง ๆ 
 

          เปิดปราสาทพระเทพบิดรวันที 13, 14, 15, 16 เมษายน เพื่อให้ประชาชนถวายสักการะพระบรมรูปบูรพมหากษัตริยาธิราช 
 

          เมื่อก่อนการบำเพ็ญพระราชกุศลในพระบรมมหาราชวัง มี 4 วัน คือวันที่ 13-16 เมษายน ปัจจุบันมีเฉพาะวันที่ 15 เมษายน วันเดียว ซึ่งในเช้าวันที่ 15 เมษายน โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานนิมนต์พระ 150 รูป เข้าไปรับอาหารบิณฑบาตทีในพระบรมมหาราชวัง 
 

          เวลา 10.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิตไปยังพระมหามณเฑียรในพระบรมมหาราชวัง 

          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จฯ พระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ สรงน้ำพระพุทธรูปสำคัญที่หอพระสุลาลัยพิมาน ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการ แล้วเสด็จฯ ไปทรงจุดธูปเทียนบูชาพระสยามเทวาธิราชที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ เสด็จฯ ไปยังหอพระธาตุมณเฑียรทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะและสรงน้ำพระบรมอัฐิ พระอัฐิ แล้วเสด็จออกพระที่นั่งอัมรินทร์วินิจฉัยทางพระทวารเทวราชมเหศวร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระรัตนตรัย พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ 71 รูป เจริญพระพุทธมนต์การพระราชพิธีสงกรานต์ จบแล้วทรงประเคนภัตตาหาร 
 

          เมื่อพระสงฆ์รับพระราชทานฉันเสร็จเจ้าพนักงานเชิญพระบรมอัฐิและพระอัฐิออก ประดิษฐานบนพระราชบัลลังก์ ภายใต้นพปฏลมหาเศวตฉัตรและบนที่นั่งกงภายใต้ฉัตรขาวลายทอง 5 ชั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะถวายบังคมพระอัฐิ แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทอดผ้าคู่ พระสงฆ์สดับปกรณ์ พระบรมอัฐิและพระอัฐิ แล้วถวายอนุโมทนาถวายอดิเรก ถวายพระพรลา เสด็จพระราชดำเนินประทับรถยนต์พระที่นั่ง ที่พระที่นั่งทวารเทเวศรรักษาเสด็จพระราชดำเนินกลับ 
 

          เวลา 16.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เจ้าพนักงานกราบบังคมทูลรายงานเครื่องราชสักการะที่ทรงพระราชอุทิศ พระราชทานให้กระทรวงมหาดไทยเชิญไปถวายเป็นพุทธบูชาเจดียสถานต่าง ๆ แล้วเสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่พระอุโบสถ ทรงพระสุหร่ายสรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรพระสัมพุทธพรรณี พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงจุดธูปเทียนถวายนมัสการ แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปสรงน้ำปูชนียวัตถุตามเจดียสถานในพระอารามนี้ แล้วเสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่หอพระนาก ทรงจุดธูปเทียนถวายสักการะพระอัฐิ 5 รูป สดับปกรณ์แล้วทรงทอดผ้าพระสงฆ์อีก 50 รูป สดับปกรณ์พระอัฐิพระราชวงศ์ พระสงฆ์ถวายอนูโมทนา ถวายดิเรก เป็นเสด็จการ  
 

           2. พิธีราษฎร์ 
 

              การทำบุญตักบาตรในวันสงกรานต์ 

              การทำบุญในวันสงกรานต์อาจจะทำการตักบาตรทำบุญได้ 2 แห่ง คือ ที่วัดหรือในบริเวณงานที่จัดไว้แล้ว วิธีตักบาตร ใช้วิธีเรียงแถวและนิมนต์พระเดินตามลำดับ โดยชายตักบาตรด้วยข้าว หญิงตักบาตรด้วยของคาวหวาน ถ้าเต็มบาตรก็ถ่ายใส่ภาชนะอื่น และนิมนต์ท่านรับจนทั่ว เสร็จแล้วอาจนิมนต์ท่านฉัน ณ สถานที่จัดงาน หรือให้ท่านนำไปฉันที่วัดก็ได้ ในเวลาตักบาตรพระสงฆ์จะสวดถวายพร คือ พาหุง พอเสร็จก็ช่วยกันยกอาหารคาวหวานไปถวายพระ ขณะพระฉันจะมีการอ่านประกาศสงกรานต์กันในตอนนี้ บางคนก็อาจจะอยู่ฟังอนุโมทนา เป็นอันเสร็จพิธี 

 

วันสงกรานต์
 

กิจกรรมที่ประชาชนทำในวันสงกรานต์     



          การก่อเจดีย์ทราย

              จะทำในวันใดวันหนึ่งของวันที่ 13-15 เมษายนก็ได้ ผู้ทำบุญจะช่วยกันขนทรายมาก่อเป็นเจดีย์ขนาดต่างๆ ในบริเวณวัด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ ให้ใช้ก่อสร้างหรือถมพื้นที่เป็นเรื่องที่ถือว่าได้บุญและสนุกสนาน แต่ไม่มีข้อจำกัดว่าต้องทำทุกวัด 

          การปล่อยนกปล่อยปลา

              เป็นการทำบุญเพื่อแสดงความกรุณาต่อสัตว์ นิยมทำในวันสงกรานต์และไม่จำกัดว่าจะทำในวัดเท่านั้น 

          การสรงน้ำพระ 

              มีทั้งสรงน้ำพระพุทธรูปและภิกษุ สามเณร เพื่อความเป็นสิริมงคลในโอกาสขึ้นปีใหม่อันเป็นเวลาที่อากาศร้อน          

          การรดน้ำผู้ใหญ่

              เป็นเรื่องของการแสดงคารวะต่อผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ผู้ร่วมพิธีควรนำผ้า 1 สำรับ คือ ผ้านุ่ง 1 ผืน ผ้าห่ม 1 ผืน ไปมอบให้ท่านพร้อมกับดอกไม้ธูปเทียน การรดน้ำผู้ใหญ่ดังกล่าวมานี้มักจะรดหรืออาบท่านจริง ๆ จึงต้องมีผ้าไปมอบให้ ปัจจุบันบางแห่งรดเฉพาะที่ฝ่ามือ โดยจะเอาน้ำหอมเจือในน้ำด้วย แต่ก็ยังคงมีผ้านุ่งห่ม 1 สำรับ และดอกไม้ธูปเทียนไปแสดงความคารวะ และขอพรท่านก็จะให้ศีลให้พรให้มีความสุขปีใหม่ คือตั้งแต่วันสงกรานต์เป็นต้นไป

          การทำบุญอัฐิ 

              เป็นเรื่องที่นิยมทำแบบนิมนต์พระ ชักบังสุกุลอัฐิของญาติที่ล่วงลับไปแล้ว แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ โดยนิมนต์พระไปยังสถานที่เก็บหรือบรรจุอัฐิ หรือถ้าไม่มีอัฐิจะเขียนชื่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้วก็ได้ เมื่อบังสุกุลแล้วก็เผากระดาษแผ่นนั้นเสีย เหมือนเผาศพ การทำบุญอัฐิจะทำในวันไหนก็ได้สุดแต่จะนัดหมายกัน การรื่นเริงจัดขึ้นเพื่อเชิ่อม ความสามัคคีในหมู่คณะ เป็นการอนุรักษ์ประเพณีต่าง ๆ ในท้องถิ่นไว้ด้วย 

          การสาดน้ำ

              เป็นการสนุกสนานรื่นเริงอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของสงกรานต์ คือ สาดน้ำกันโดยมากจะเริ่มต้นในวันสรงน้ำพระ แต่บางแห่งพอเริ่มสงกรานต์ ก็เริ่มสาดน้ำกันทีเดียว ส่วนใหญ่แล้วใช้น้ำสะอาดมีน้ำอบน้ำหอม หรือแป้งหอมผสมบ้างก็ได้ และไม่ถือเป็นเรื่องเสียหาย 

          การแห่นางแมว

              บางแห่งอาจมีการแห่นางแมวเพื่อขอฝนด้วย ซึ่งเป็นเรื่องสนุกสนานรื่นเริงเหมือนกัน แต่ก็หวังผลในทางเกษตรกรรมด้วย กล่าวคือถ้าเกิดฝนแล้งก็แห่นางแมวกันในช่วงวันทำบุญสงกรานต์ เช่นเดียวกัน

          อย่างไรก็ตามในแต่ละท้องถิ่นย่อมมีค่านิยมและธรรมเนียมปฏิบัติเกี่ยวกับประเพณีสงกรานต์ที่แตกต่างกันออกไป ก็สมควรให้ปฏิบัติไปตามนั้น เพื่อเป็นการเคารพภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่ได้กลั่นกรองเลือกสรรแล้วว่า เหมาะสมกับท้องถิ่นของตนเอง ดังนั้นการจะเปลี่ยนแปลงใด ๆ จึงขึ้นกับวิจารณญาณของเจ้าของวัฒนธรรมนั้น ๆ โดยตรงที่จะเลือกรับหรือไม่รับสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิม รวมทั้งสิ่งใหม่ ๆ ที่แทรกเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง 

          สิ่งที่ได้จากการทำบุญสงกรานต์ 

           1. เป็นการแสดงความเคารพบูชาต่อสิ่งที่ตนเคารพ ต่อบิดามารดา และผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ 

           2. เป็นการชำระจิตใจ และร่างกายให้สะอาด 

           3. เป็นการรักษาประเพณีมาแต่เดิม 

           4. เป็นการสนุกสนานรื่นเริงในรอบปี และพักจากงานประจำชั่วคราว เพื่อจะไปพักผ่อนหย่อนใจ 

           5. เป็นการเตือนสติว่ามนุษย์นั้นผ่านไป 1 ปีแล้ว และในรอบปีที่ผ่านมาเราได้ทำอะไรบ้างและควรจะทำอะไรต่อไปในปีที่กำลังจะมาถึง 

           6. เป็นการเตรียมตัวบวช ถ้าเป็นผู้ชายโดยเอาระยะเวลานี้บวชกัน เพราะหลังสงกรานต์ต้องเตรียมตัวทำนาแล้ว 

           7. เป็นการทำความสะอาดพระ โต๊ะบูชา บ้านเรือน ทั้งในและนอกบ้าน

13 เมษายน วันผู้สูงอายุไทย

alt

        แม้จะเป็นวัยที่หลายคนนิยามว่าเป็น "ไม้ใกล้ฝั่ง" แต่ "ผู้สูงอายุ" ทั้งหลายคือผู้สร้างประโยชน์ให้แก่ชาติบ้านเมืองมาแล้วนับไม่ถ้วน หรืออย่างน้อยๆ ก็เป็นหนึ่งในผู้มีพระคุณของครอบครัวที่เราจะละเลยเสียไม่ได้ อีกทั้งผู้สูงอายุ ยังนับเป็นประชากรที่มีสัดส่วนมากถึง 3 ใน 5 ของประชากรโลก ด้วยเหตุนี้ ทั่วโลกจึงพากันรณรงค์ให้เห็นความสำคัญของผู้สูงอายุ ด้วยการกำหนด "วันผู้สูงอายุ" ขึ้น ประหนึ่งเป็นเครื่องเตือนใจให้บรรดาลูกหลานทั้งหลายหันมอง และเอาใจใส่บุคคลสำคัญเหล่านี้ที่เป็นคนใกล้ตัว

        สำหรับประเทศไทย วันผู้สูงอายุ ถูกผูกรวมไว้กับวันขึ้นปีใหม่ไทย หรือวันสงกรานต์ ตรงกับวันที่ 13 เมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่านอกจากจะทำบุญตักบาตรในช่วงเช้าตามวิถีชาวพุทธแล้ว กิจกรรมสำคัญอันดับต้นๆ ของวัน ก็คือการรดน้ำดำหัวขอพรจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่นับถือนั่นเอง

ความเป็นมาของวันผู้สูงอายุ

        ในประเทศไทยเริ่มจุดประกายเรื่องนี้ในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีการกำหนดนโยบายที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี มีคุณภาพ และดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข และได้มอบให้กรมประชาสงเคราะห์จัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา บ้านบางแค เป็นแห่งแรกในปี พ.ศ. 2496 โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้ 



วันผู้สูงอายุแห่งชาติ

 

        1. เพื่อให้การสงเคราะห์คนชราที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ หรือประสบปัญหาความทุกข์ยาก เดือดร้อน ยากจน ไม่มีที่อยู่อาศัย หรือไม่สามารถอยู่กับครอบครัวได้ 

        2. เพื่อให้บริการแก่คนชราที่อยู่กับครอบครัวของตน แต่มีความต้องการบริการสงเคราะห์คนชราบางอย่าง เช่น การรักษาพยาบาล กายภาพบำบัด นันทนาการ 

        3. เพื่อแบ่งเบาภาระของครอบครัวผู้มีรายได้น้อย หรือยากจน ที่ไม่สามารถจะอุปการะเลี้ยงดูคนชราไว้ในครอบครัวได้ 

        4. เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคมอันเกี่ยวกับคนชรา ไม่ให้เร่ร่อน ทำความเดือดร้อนรำคาญแก่สังคมและให้สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างผาสุกตามสมควรแก่อัตภาพ 

        5. เพื่อเป็นการตอบแทนคุณความดีที่คนชราได้ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ 

        6. เพื่อผู้สูงอายุจะได้คลายวิตกกังวล เมื่อชราภาพ ไม่สามารถประกอบอาชีพต่อไปได้แล้วทางรัฐบาลมีหน้าที่จะเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูต่อไป



วันผู้สูงอายุแห่งชาติ

 

        ต่อมา ในปี พ.ศ. 2525 ได้มีการจัดประชุมสมัชชาโลกว่าด้วยผู้สูงอายุ ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ซึ่งได้พิจารณาประเด็นสำคัญเกี่ยวกับผู้สูงอายุไว้ 3 ประการ คือ ด้านมนุษยธรรม ด้านการพัฒนา และด้านการศึกษา นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก ยังได้กำหนดให้ปี 2525 เป็นปีรณรงค์เพื่อส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุโดยกำหนดคำขวัญว่า "Add life to Years" เพื่อให้ประเทศต่างๆ ช่วยกันส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ซึ่งคณะกรรมการอำนวยการวันอนามัยโลกของกระทรวงสาธารณสุข ได้มีมติให้ใช้คำขวัญเป็นภาษาไทยว่า "ให้ความรัก พิทักษ์อนามัย ผู้สูงวัยอายุยืน"

        ในส่วนของรัฐบาลไทยสมัยนั้น ซึ่งตรงกับรัฐบาลของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็ได้เห็นความสำคัญต่อนโยบายดังกล่าว โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2525 อนุมัติให้วันที่ 13 เมษายนของทุกปีเป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ มีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานและจัดให้มีกิจกรรมต่างๆ สำหรับผู้สูงอายุของทุกปี

วันผู้สูงอายุสากล

        องค์การสหประชาชาติกำหนดให้ทุกวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี เป็น "วันผู้สูงอายุสากล" เริ่มมาตั้งแต่ปี 1999 หรือ พ.ศ. 2542 ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. 2525 องค์การสหประชาชาติได้จัดประชุมสมัชชาโลกเกี่ยวกับผู้สูงอายุ ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย และได้ให้ความหมายของคำว่า ...

        "ผู้สูงอายุ" หมายถึง บุคคลทั้งเพศชายและเพศหญิงที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ ผู้สูงอายุตอนต้น คือ บุคคลที่มีอายุ 60-69 ปี ทั้งชายและหญิง และผู้สูงอายุตอนปลาย คือ บุคคลที่มีอายุ 70 ปี ขึ้นไปทั้งชายและหญิง



ดอกลำดวน


ดอกไม้สัญลักษณ์ผู้สูงอายุ 

        รัฐบาลในสมัย พล.เอกเปรม ติณสูลานนท์ นอกจากจะอนุมัติให้วันที่ 13 เมษายน ของทุกปี เป็นวันผู้สูงอายุ แล้วกำหนดให้ "ดอกลำดวน" เป็นสัญลักษณ์ของผู้สูงอายุด้วย 

        สำหรับสาเหตุที่เลือก "ดอกลำดวน" เนื่องจากต้นลำดวนหรือหอมหวล (Melodorum fruticosum Lour) ตามชื่อไทยพื้นเมือง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sphaerocoryne clavipes.จัดอยู่ในวงศ์ Annonaceae. เป็นพืชยืนต้นที่มีอยู่มาก ในสวนสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ให้ความร่มเย็น ลำต้นมีอายุยืน มีใบเขียวตลอดปี ดอกสีเหลืองนวล กลิ่นหอมเย็น กลีบแข็งแรงไม่ร่วงง่าย เปรียบเหมือนกับผู้ทรงวัยวุฒิที่คงคุณธรรมคุณงามความดีให้กับลูกหลานไว้เป็นแบบอย่างสืบต่อไป 

กิจกรรมวันผู้สูงอายุ           
 
        โดยทั่วไปจะมีการจัดกิจกรรมรดน้ำดำหัว มอบของขวัญ และขอพรจากผู้สูงอายุตามหมู่บ้าน และชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมถึงหน่วยงานต่าง ๆ จะมีการให้สิทธิพิเศษในการใช้บริการ 

12 เมษายน วันป่าชุมชนชายเลนไทย

วันป่าชุมชนชายเลนไทย

12 เมษายน

วันป่าชุมชนชายเลนไทย

ป่าชายเลนเกิดจากตะกอนที่มากับแม่น้ำ สะสมรวมตัวกันเป็นหาดเลนกว้าง บริเวณรอยต่อของทะเลกับพื้นดิน ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำและสัตว์บก โดยปัจจุบันป่าชายเลนถูกรุกล้ำทำให้ระบบนิเวศน์ต่างๆ เสียไป จึงมีการกำหนดให้วันที่ 12 เมษายน ของทุกปี เป็น "วันป่าชุมชนชายเลนไทย" เพื่อให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันรักษาทรัพยากรธรรมชาตินี้ไว้ไม่ให้สูญหายไป รวมถึงสร้างจิตสำนึก ในการอนุรักษ์ธรรมชาติเพื่อนำมาพัฒนาให้ป่าชายเลนไทยดำรงอยู่ต่อไป

 

ประโยชน์ของป่าชายเลน

ป่าชายเลน (Mangrove Forest) เป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยพืชหลากชนิดและหลายตระกูล โดยเฉพาะไม้ใบที่เขียวตลอดปี เป็นศูนย์รวมของพืชที่ขึ้นอยู่ตามบริเวณชายฝั่งทะเล ปากแม่น้ำ หรือปากอ่าว ทะเลสาบ และเกาะ ป่าชายเลน ในเมืองไทยมีประมาณ 78 ชนิด เช่น โกงกาง โปรง ลำพู ตะบูน เหงือกปลาหมอ จาก ตาตุ่มทะเล หงอนไก่ เป็นต้น โดยจะมีการแบ่งเขตการแพร่กระจายกันอย่างชัดเจน ซึ่งกลายเป็นแหล่งรวมพันธุ์สัตว์ชนิดต่างๆ ทั้งสัตว์บก สัตว์ปีกและสัตว์น้ำ นับว่ามีความสำคัญต่อการดำรงชีพของมนุษย์มากทั้งในเขตป่าชายเลนและตามแนวชายฝั่ง โดยเฉพาะกุ้ง หอย ปู ปลา ที่มีมากมายหลายชนิดที่ชาวบ้านสามารถนำมารับประทานและขายเป็นรายได้ตลอดทั้งปี ดังนั้นป่าชายเลน จึงเปรียบเสมือนตลาดสดสำหรับชุมชน ชุมชนชายฝั่งจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีได้นั้นจะต้องขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลนเป็นหลัก

นอกจากนั้นป่าชายเลนยังคอยเกื้อหนุนต่อทรัพยากรทางทะเล เช่น เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อนชนิดต่างๆ เป็นแหล่งอาหารของสัตว์น้ำนานาพันธุ์ ช่วยป้องกันการพังทลายชายฝั่งจากคลื่นลมและทำหน้าที่รักษาสมดุลของระบบนิเวศชายฝั่ง ที่เกื้อกูลต่อพันธุ์สัตว์และพรรณพืช รวมถึงลดมลภาวะทางอากาศและสิ่งปฏิกูลต่างๆ เป็นต้น ดังนั้นป่าชายเลนจึงถือว่ามีคุณค่าอย่างยิ่งต่อชุมชนและประเทศชาติของเรา

แนวทางการอนุรักษ์ป่าชายเลน

  • ให้ชุมชนมามีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มต้นของการฟื้นฟู
  • นำองค์ความรู้ดั้งเดิมและวิถีชีวิตของชุมชนมาประยุกต์ใช้ในการฟื้นฟูและจัดการทรัพยากรป่าชาเลน
  • สร้างจิตสำนึกและเสริมสร้างแรงจูงใจต่างๆ ให้กับชุมชน
  • ให้ความรู้และประสบการณ์ต่างๆ แก่ชุมชนในการฟื้นฟูและจัดการทรัพยากรป่าชายเลน
  • สร้างผู้นำและเครือข่ายเพื่อให้องค์กรชุมชนมีความเข้มแข็ง
  • จัดกิจกรรมเกี่ยวกับป่าชายเลน เช่น การปลูกป่าชายเลน การอนุรักษ์ระบบนิเวศป่าชายเลน

7 เมษายน วันอนามัยโลก


h1

         ทุกวันที่ 7 เมษายนของทุกปี องค์การสหประชาชาติ ได้กำหนดให้เป็น "วันอนามัยโลก" เพื่อให้สมาชิกทุกประเทศ ได้ใช้เป็นโอกาสรณรงค์ให้ประชาชน และทุกภาคส่วนของสังคม ได้ตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพ และร่วมมือกันในการควบคุม ป้องกัน แก้ไขปัญหาสุขภาพ รวมทั้งสร้างเสริมสุขภาพของประชาชนอย่างทั่วถึง และเท่าเทียมกัน … ว่าแต่ วันอนามัยโลก มีประวัติความเป็นมา และมีความสำคัญอย่างไร วันนี้ กระปุกดอทคอม มีข้อมูลมาฝากกันค่ะ

ประวัติความเป็นมา 

         องค์การอนามัยโลก (World Health Organization, WHO) เป็นองค์กรของสหประชาชาติซึ่งมีกำเนิดมาจาก ประชากรของโลกได้ถูกภัยคุมคามจากโรคระบาดต่าง ๆ ทำให้เกิดปัญหาที่ต้องพิจารณากันในระหว่างประชาชาติต่าง ๆ เพราะจะมีโรคระบาดแพร่จากประเทศหนึ่งไปยังประเทศหนึ่งอยู่เสมอ ทำให้ต้องมีการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศต่าง ๆ  และได้ร่วมมือกันจัดการประชุมเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยระหว่างประเทศเป็นครั้งแรกที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. 2349 เพื่อวางมาตรการควบคุมและกักกันโรคระบาดระหว่างประเทศ

         ต่อมา คณะมนตรีด้านสังคมและเศรษฐกิจแห่งสหประชาชาติ ได้จัดให้มีการประชุมว่าด้วยสุขภาพระหว่างประเทศ เมื่อ พ.ศ. 2489 ที่เมืองนิวยอร์ก ที่ประชุมได้เล็งเห็นว่าสุขภาพของประชาชนเป็นรากฐานของสันติภาพและความมั่นคงปลอดภัยของประชาชาติทั้งมวล จึงได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อเตรียมการสถาปนาองค์การอนามัยโลก โดยจัดการร่างธรรมนูญขององค์การ อนามัยโลกแล้วเสร็จ ประกาศใช้ธรรมนูญเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2491 พร้อมกันนี้ สมัชชาองค์การอนามัยโลก ได้พิจารณาให้เฉลิมฉลองวันที่ 7 เมษายนของทุกปีเป็นวันอนามัยโลก (World Health Day) และมีมติให้มีการฉลองพร้อมกันทั่วโลกตั้งแต่ พ.ศ. 2492 โดยองค์การอนามัยโลก ได้กำหนดข้อปัญหาทางอนามัยขึ้นปีละ 1 เรื่อง สำหรับตั้งเป็นคำขวัญ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วโลกใช้เป็นแนวทางในการให้สุขศึกษาแก่ประชาชน คำขวัญดังกล่าวมีครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2493

งานขององค์การอนามัยโลก นั้นแยกออกได้เป็น 3 ประเภท คือ 

         1. พยายามอำนวยความช่วยเหลือให้แก่ประเทศต่าง ๆ ตามความต้องการเมื่อได้ร้องขอมา

         2. จัดให้บริการด้านสุขภาพอนามัยแก่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

         3. ส่งเสริมและประสานงานด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพต่าง ๆ อันไม่อาจดำเนินไปได้โดยลำพังแต่ละประเทศ


ความสำคัญของวันอนามัยโลก 

         องค์การอนามัยโลก นับเป็นองค์กรระหว่างประเทศองค์การหนึ่งที่จัดตั้งขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ และสังคมขององค์การสหประชาชาติ โดยอาศัยแนวความคิด และการดำเนินงานขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับการอนามัยที่มีมาก่อน


วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งองค์การอนามัยโลก 

         1. เพื่อช่วยเหลือประชาชนทั่วโลกให้มีพลานามัยอยู่ในระดับสูงสุดเท่าที่สามารถจะทำได้ทั้งในร่างกายและจิตใจ

         2. เพื่อประสานงานส่งเสริมการอนามัยระหว่างชาติ  และร่วมมือกับรัฐบาลประเทศสมาชิกในการดำเนินงานตามโครงการอนามัยต่าง ๆ  รวมทั้งกำหนดมาตรฐานยา และวัคซีน

         3. เพื่อให้บริการทางวิชาการในด้านอนามัยระหว่างประเทศและส่งเสริมการวิจัยทางการแพทย์

         นอกจากนี้ ในทุก ๆ ปี องค์การอนามัยโลก จะมีการตั้งเป้าหมายสำหรับการทำงานด้วยคำขวัญสั้น ๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วโลก ใช้เป็นแนวทางในการให้สุขศึกษาแก่ประชาชนในวันอนามัยโลกแต่ละปี ซึ่งคำขวัญดังกล่าวเริ่มตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2493

คำขวัญ วันอนามัยโลก พ.ศ. 2493-2560 มีดังนี้ 

          พ.ศ. 2493 คำขวัญ คือ "Know Your Own Health Services" เป็นภาษาไทยว่า "จงคุ้นเคยกับบริการอนามัยที่มีไว้เพื่อท่าน"

          พ.ศ. 2494 คำขวัญ คือ "Healthy for Your Child and World's Children" เป็นภาษาไทยว่า "สุขภาพสำหรับเด็กของท่านและของโลก"

          พ.ศ. 2495 คำขวัญ คือ "Healthy Surrounding Makes Healthy People" เป็นภาษาไทยว่า "สิ่งแวดล้อมได้สุขลักษณะ จะทำให้ประชาชนมีอนามัยดีขึ้น"

          พ.ศ. 2496 คำขวัญ คือ "Health is Wealth" เป็นภาษาไทยว่า "อโรคยา ปรมาลาภา"

          พ.ศ. 2497 คำขวัญ คือ "The Nurse-Pioneer of Health" เป็นภาษาไทยว่า "พยาบาล คือ ผู้กรุยทางสุขภาพอนามัย"

          พ.ศ. 2498 คำขวัญ คือ "Clean Water Makes Better Health" เป็นภาษาไทยว่า "น้ำสะอาด ทำให้อนามัยดี"

          พ.ศ. 2499 คำขวัญ คือ "Fight Disease Carrying Insects" เป็นภาษาไทยว่า "จงกำหนดแมลงนำโรค"

          พ.ศ. 2500 คำขวัญ คือ "Food and Health" เป็นภาษาไทยว่า "กินดีมีสุข"

          พ.ศ. 2501 คำขวัญ คือ "Ten Years of Health Progress (1948-1957)" เป็นภาษาไทยว่า "สาธารณสุขก้าวหน้า (2491-2500)"

          พ.ศ. 2502 คำขวัญ คือ "Mental Illness and Mental Health in the World of Today" เป็นภาษาไทยว่า "โรคจิต และสุขภาพจิตทั่วโลกในปัจจุบัน"

          พ.ศ. 2503 คำขวัญ คือ "Malaria Eradication - A World Challenge" เป็นภาษาไทยว่า "ทั่วโลกเร่งรัดให้กำจัดมาลาเรีย"

          พ.ศ. 2504 คำขวัญ คือ "Accidents and Their Prevention" เป็นภาษาไทยว่า "อุบัติเหตุป้องกันได้ ถ้าไม่ประมาท"

          พ.ศ. 2505 คำขวัญ คือ "Preserve Slight : Prevent Blindness" เป็นภาษาไทยว่า "ถนอมสายตา ป้องกันตาบอด"

          พ.ศ. 2506 คำขวัญ คือ "Hunger : Disease of Millions" เป็นภาษาไทยว่า "คนนับล้านมีทุกข์ เพราะโรคขาดสารอาหาร จงกินดีจะมีสุข"

          พ.ศ. 2507 คำขวัญ คือ "No Truce for Tuberculosis" เป็นภาษาไทยว่า "วัณโรคคุกคาม ต้องปราบปรามไม่หยุดยั้ง"

          พ.ศ. 2508 คำขวัญ คือ "Smallpox Constant Alert" เป็นภาษาไทยว่า "ไข้ทรพิษยังมี รีบปลูกฝีทั่วทุกคน"

          พ.ศ. 2509 คำขวัญ คือ "Man and His Cities" เป็นภาษาไทยว่า "ปรับปรุงบ้านเมือง ราษฎร์รุ่งเรือง ใจสุขสันต์"

          พ.ศ. 2510 คำขวัญ คือ "Partners in Health" เป็นภาษาไทยว่า "พัฒนาอนามัยให้สุขสันต์ ต้องร่วมกันทุกฝ่ายจึงได้ผล"

          พ.ศ. 2511 คำขวัญ คือ "Health in the World of Tomorrow" เป็นภาษาไทยว่า "อนาคตจะสดใส เพราะอนามัยช่วยส่งเสริม"

          พ.ศ. 2512 คำขวัญ คือ "Health, Labour and Productivity" เป็นภาษาไทยว่า "อนามัยดี ทวีแรงงาน เพิ่มปริมาณผลผลิต"

          พ.ศ. 2513 คำขวัญ คือ "Early Cancer Detection Saves Lives" เป็นภาษาไทยว่า "มะเร็งรักษาได้ พบเร็วเท่าใด ชีวิตปลอดภัย"

          พ.ศ. 2514 คำขวัญ คือ "A Full Life Despite Diabetes" เป็นภาษาไทยว่า "แม้เป็นเบาหวาน ชีวิตก็เป็นปกติสุขได้"

          พ.ศ. 2515 คำขวัญ คือ "Your Heart is Your Health" เป็นภาษาไทยว่า "หัวใจดีมีสุข"

          พ.ศ. 2516 คำขวัญ คือ "Health Begins at Home" เป็นภาษาไทยว่า "อนามัยดีเริ่มที่บ้าน"

          พ.ศ. 2517 คำขวัญ คือ "Better Food for a Healthier World" เป็นภาษาไทยว่า "ผลิตอาหารพอ บริโภคดี ทวีสุขภาพ"

          พ.ศ. 2518 คำขวัญ คือ "Smallpox : Point of No Return" เป็นภาษาไทยว่า "ไข้ทรพิษจะไม่กลับมา ถ้าปวงประชาได้ปลูกฝี"

          พ.ศ. 2519 คำขวัญ คือ "Foresight Prevents Blindness" เป็นภาษาไทยว่า "ป้องกันล่วงหน้า ตาไม่บอด"

          พ.ศ. 2520 คำขวัญ คือ "Immunize and Protect Your Child" เป็นภาษาไทยว่า "วัคซีนช่วยป้องกัน เด็กของท่านพ้นโรคภัย"

          พ.ศ. 2521 คำขวัญ คือ "Down with High Blood Pressure" เป็นภาษาไทยว่า "อายุจะสั้น ถ้าความดันโลหิตสูง"

          พ.ศ. 2522 คำขวัญ คือ "A Healthy Child, A Sure Future" เป็นภาษาไทยว่า "อนามัยดีแต่เล็ก อนาคตเด็กแจ่มใส"

          พ.ศ. 2523 คำขวัญ คือ "Smoking or Health, The Choice Is Yours" เป็นภาษาไทยว่า "สุขภาพจะดี เมื่องดบุหรี่ได้"

          พ.ศ. 2524 คำขวัญ คือ "Health for All by the Year 2000" เป็นภาษาไทยว่า "สุขภาพดีถ้วนหน้า เมื่อ 2543"

          พ.ศ. 2525 คำขวัญ คือ "Add Life to Years" เป็นภาษาไทยว่า "ให้ความรัก พิทักษ์อนามัย ผู้สูงวัยอายุยืน"

          พ.ศ. 2526 คำขวัญ คือ "Health for All by The Year 2000 : The Countdown Has Begun !" เป็นภาษาไทยว่า "ร่วมกันเร่งพัฒนา ให้สุขภาพดีถ้วนหน้า ก่อน 2543"

          พ.ศ. 2527 คำขวัญ คือ "Children's Health 'Tomorrow's Wealth'" เป็นภาษาไทยว่า "เด็กสุขภาพดี จะมั่งมีวันหน้า"

          พ.ศ. 2528 คำขวัญ คือ "Health Youth Our Best Resource" เป็นภาษาไทยว่า "เยาวชนสุขภาพดี เหมือนมีทรัพยากรเยี่ยม"

          พ.ศ. 2529 คำขวัญ คือ "Health Living : Everyone A Winner" เป็นภาษาไทยว่า "คุณภาพชีวิตดี ทุกชีวีมีสุข"

          พ.ศ. 2530 คำขวัญ คือ "Immunization : A Chance for Every Child" เป็นภาษาไทยว่า "ให้ภูมิคุ้มกัน เป็นโอกาสสำคัญของเด็กทุกคน"

          พ.ศ. 2531 คำขวัญ คือ "Health for All, All for Health" เป็นภาษาไทยว่า "สุขภาพดีถ้วนหน้า เพราะประชาร่วมใจ"

          พ.ศ. 2532 คำขวัญ คือ "Let's Talk Health" เป็นภาษาไทยว่า "คุยกันวันละนิด เพื่อชีวิตและสุขภาพ"

          พ.ศ. 2533 คำขวัญ คือ "Our Planet - Our Health" เป็นภาษาไทยว่า "ร่วมขจัดมลพิษ เสริมสร้างชีวิตและอนามัย"

          พ.ศ. 2534 คำขวัญ คือ "Should Disaster Strike - Be Prepared" เป็นภาษาไทยว่า "เตรียมพร้อมไว้รับภัยพิบัติ - เพื่อกำจัดความสูญเสีย"

          พ.ศ. 2535 คำขวัญ คือ "Heartbeat - The Rhythm of Heart" เป็นภาษาไทยว่า "ออกกำลังกายทุกวัน งดไขมันเหล้าบุหรี่ สุขภาพจิตดี จะไม่มีโรคหัวใจ"

          พ.ศ. 2536 คำขวัญ คือ "Handle Life with Care : Prevent Violence and Negligence" เป็นภาษาไทยว่า "ถนอมชีวิต คิดรอบคอบ ปลอดอุบัติเหตุ"

          พ.ศ. 2537 คำขวัญ คือ "Oral Health for a Healthy Life" เป็นภาษาไทยว่า "แปรงฟันถูกวิธี สุขภาพช่องปากดี พาชีวีสุขสันต์"

          พ.ศ. 2538 คำขวัญ คือ "Target 2000 - A World without Life" เป็นภาษาไทยว่า "2543 ปีเป้าหมาย โลกไร้โปลิโอ"

          พ.ศ. 2539 คำขวัญ คือ "Healthy Cities - For Better Health" เป็นภาษาไทยว่า "บ้านน่าอยู่ เมืองน่าอยู่ อนามัยดี ชีวีสดใส"

          พ.ศ. 2540 คำขวัญ คือ "Emerging Infectious Diseases - Global Alert, Global Response" เป็นภาษาไทยว่า "โรคติดเชื้ออุบัติใหม่ - ตื่นตัวทั่วหน้า ค้นคว้าแก้ไข"

          พ.ศ. 2541 คำขวัญ คือ "Pregnancy is Special - Let's Make It Safe" เป็นภาษาไทยว่า "ตั้งครรภ์นั้นประเสริฐ ร่วมมือกันเถิด แม่ลูกปลอดภัย"

          พ.ศ. 2542 คำขวัญ คือ "Active Ageing Makes the Difference" เป็นภาษาไทยว่า "ผู้สูงวัย อนามัยดี มีคุณค่า ช่วยพัฒนาสังคม"

          พ.ศ. 2543 คำขวัญ คือ "Safe Blood Starts with Me - Blood Saves Lives" เป็นภาษาไทยว่า "โลหิตฉันมั่นใจ ปลอดภัยกับผู้รับ"

          พ.ศ. 2544 คำขวัญ คือ "Stop Exclusion - Dare to Care" เป็นภาษาไทยว่า "ผู้ป่วยทางจิต อย่าคิดผลักไส ควรมีน้ำใจ ห่วงใยเยียวยา"

          พ.ศ. 2545 คำขวัญ คือ "Agita Mundo - Move for Health" เป็นภาษาไทยว่า "ขยับกาย สบายชีวี"

          พ.ศ. 2546 คำขวัญ คือ "Shape the Future of Life" เป็นภาษาไทยว่า "สิ่งแวดล้อมสะอาดสดใส เด็กไทยแข็งแรง"

          พ.ศ. 2547 คำขวัญ คือ  "Road Safety is NO Accident" เป็นภาษาไทยว่า "สำนึกดีขับขี่ปลอดภัย ร่วมใจลดอุบัติเหตุ"

          พ.ศ. 2548 คำขวัญ คือ  "Make Every Mother and Child Count" เป็นภาษาไทยว่า "สุขภาพแม่และเด็กไทย คือ หัวใจของครอบครัว และสังคม"

          พ.ศ. 2549 คำขวัญ คือ "Working Together for health" เป็นภาษาไทยว่า "สานมือ สานใจ  เพื่อคนไทยสุขภาพดี"

          พ.ศ. 2550 คำขวัญ คือ " Invest in Health, Build a Safer Future" เป็นภาษาไทยว่า "ประชาคมโลกปลอดภัย ต้องร่วมใจพัฒนาสาธารณสุข"

          พ.ศ. 2551 คำขวัญ คือ "Protecting Health from Climate Change" เป็นภาษาไทยว่า "รักษ์สุขภาพอนามัยพร้อมใจต้านโลกร้อน"

          พ.ศ. 2552 คำขวัญ คือ "Save Live. Make Hospital Safe in Emergency" เป็นภาษาไทยว่า "โรงพยาบาลพร้อม คุ้มครองทุกชีวิต ในภาวะวิกฤตฉุกเฉิน"

          พ.ศ. 2553 คำขวัญ คือ "1000 cities, 1000 lives" เป็นภาษาไทยว่า "เมืองใหญ่ 1,000 แห่ง เรื่องราวดี ๆ จาก 1,000 ชีวิต"

          พ.ศ. 2554 คำขวัญ คือ "Combat drug resistance-No action, no cure tomorrow" เป็นภาษาไทยว่า "ใช้ยาปฏิชีวนะ อย่างถูกต้อง ป้องกันเชื้อดื้อยา เพื่อการรักษาที่ได้ผล"

          พ.ศ. 2555 คำขวัญ คือ "Good Health adds life to years" เป็นภาษาไทยว่า "ให้ความรัก พิทักษ์อนามัย ผู้สูงวัยอายุยืน"


          พ.ศ. 2556 คำขวัญ คือ "Control your blood pressure" เป็นภาษาไทยว่า "รณรงค์ลดภาวะความดันโลหิตสูง"

          พ.ศ. 2557 คำขวัญ คือ "Small bite, Big threat" เป็นภาษาไทยว่า "ยุง : ภัยคุกคามความมั่นคงทางสุขภาพ"

          พ.ศ. 2558 คำขวัญ คือ "How safe is your food ? From farm to plate, keep it safe" เป็นภาษาไทยว่า "อาหารปลอดภัยสร้างได้ตั้งแต่ฟาร์มจนถึงโต๊ะอาหาร "

 
         พ.ศ. 2559 คำขวัญ คือ  "Halt the rise: beat diabetes" เป็นภาษาไทยว่า "ปราบเบาหวาน"


         พ.ศ. 2560 คำขวัญ คือ "Depression : Let's talk"

        
 เมื่อรู้ถึงความสำคัญของวันอนามัยโลกแล้ว ก็อยากให้ทุก ๆ คนตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลสุขภาพของตนเองและครอบครัว เพื่อสุขภายกายและสุขภาพใจที่ดี ตามคำขวัญของวันอนามัยโลกด้วยเช่นกัน

บทความ อื่นๆ ...


Thai Arabic Belarusian Chinese (Traditional) English French German Japanese Korean Vietnamese

















 

คุณพอใจ อบต.หนองกระเจ็ด ด้านใด





















 















QR Code
อบต.หนองกระเจ็ด



 


ลิขสิทธิ์ © 2559 - 2564 องค์การบริหารส่วนตำบลหนองกระเจ็ด จังหวัดเพชรบุรี สงวนไว้ซึ่งสิทธิทั้งหมด.
องค์การบริหารส่วนตำบลหนองกระเจ็ด อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี โทร 0-3258-6261

นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล